INDEGO Exclusive Content EP.13

จีนยังแข็งแกร่ง มังกรยังผงาดอยู่เสมอ

 

ในช่วงที่ผ่านมานั้นเราอาจได้ยินข่าวเชิงลบต่อตลาดหุ้นจีนหนาหูมากมายไม่ว่าจะเป็นความพยายามควบคุมไม่ให้ตลาดหุ้นเติบโตร้อนแรงเกินไปของรัฐบาล หรือแม้แต่ประเด็นสงครามการค้าที่ไม่จบไม่สิ้น แต่สิ่งที่เข้ามากดดันตลาดหุ้นจีนเหล่านี้เรากลับมองว่าเป็นเพียง Noise ที่ผ่านมาและจะผ่านไป ซึ่งช่วยให้หุ้นจีนมีระดับ Valuation ที่น่าสนใจมากขึ้น และเป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจไม่น้อย

 

เดิมทีประเด็นสงครามการค้านั้นอาจกระทบต่อตลาดค่อนข้างมาก เนื่องจากในอดีตจีนเป็นประเทศที่เน้นการผลิตและส่งออก อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงเร่งทำการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนให้เน้นการพึ่งพิงการบริโภคในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตควบคู่กับความร่ำรวยของคนจีนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนผ่านเงินออมภาคครัวเรือนช่วง 9 เดือนแรกในปี 2020 อยู่ที่ระดับ 37% ซึ่งสูงกว่าปี 2019 ที่อยู่ระดับ 32% บ่งชี้ว่าภาคครัวเรือนมีกำลังใช้จ่ายมากขึ้น

 

ทั้งนี้จีนก็ไม่ได้ปิดประเทศเสียทีเดียว แต่ใช้กลยุทธ์แบบวงจรคู่ (Dual Circulation) มาปรับใช้ ซึ่งหมายความว่าจีนจะเน้นความแข็งแกร่งจากภายในประเทศ (Domestic Circulation) แต่ก็ไม่ปิดกั้นการค้าและความร่วมมือระหว่างประเทศ (International Circulation) โดยจีนได้ปรับเงื่อนไขการลงทุนสินทรัพย์จีนของชาวต่างชาติทำให้นักลงทุนและบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น รวมถึงปรับกฎเกณฑ์สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทและสถาบันการเงินจากต่างชาติให้มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเพื่อดึงดูดให้ต่างชาติเข้ามาร่วม Joint Venture หรือเข้ามาลงทุนเปิดบริษัทสาขาในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยพบว่าในปี 2020 ที่ผ่านมาจีนมีมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติมากที่สุดในโลกที่ 1.63 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แสงหน้าสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ 1.34 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

นอกจากนี้จีนยังมีกระสุนที่เหลือเฟือในการกระตุ้นเศรษฐกิจหากเปรียบเทียบกับธนาคารกลางหลักหลายแห่งทั่วโลกที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยเข้าใกล้ศูนย์ทำให้นโยบายการเงินที่ใช้ได้มีอย่างจำกัด ขณะที่นโยบายการคลังก็ยังถือว่ามีความสามารถในการอัดฉีดจากการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าประเทศหลักอื่นๆ มากมาย โดยเราคาดว่าจีนจะออกนโยบายการคลังเพิ่มเติมเพื่อผลักดันประเทศให้เป็นไปตามแผนพัฒนาชาติจีน โดยจีนตั้งเป้าว่าเป้าหมายระยะยาวสำหรับปี 2035 นั้นจีนต้องการให้ GDP ต่อหัวของคนในประเทศเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.7% ติดต่อกัน 15 ปี

 

ซึ่งการจะไปสู่จุดมุ่งหมายดังกล่าวนั้นทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาประเทศในหลายๆ แง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับภาคการผลิตซึ่งเป็นจุดเด่นของจีนภายใต้นโยบาย Made in China 2025 หรือการเปลี่ยนแปลงจีนจากประเทศที่เน้นใช้แรงงานค่าแรงถูกในการผลิต สู่การเป็นประเทศที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิต เพื่อก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตหลักของโลกที่ได้มาตรฐานในสายตาชาวโลก และเมื่อผลิตแล้วก็ต้องทำการส่งออกจึงมีนโยบาย Belt & Road เพื่อเปิดประตูสู่โลกภายนอกมากขึ้น เพื่อพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการคมนาคมและโลจิสติกส์รวมถึงความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยปัจจุบันมีจำนวนประเทศที่เข้าร่วมโครงการกว่า 71 ประเทศ ด้วยขนาดเศรษฐกิจรวมกันคิดเป็นกว่า 1 ใน 3 ของ GDP โลกทั้งหมด ด้วยมูลค่าลงทุนร่วมกันราว 4-8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2049

 

รวมถึงยกระดับพัฒนาการทางเทคโนโลยี โดยรัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าเพิ่มรายจ่ายด้าน R&D ถึงปีละ 7% ในช่วง 5 ปี ข้างหน้า ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแบบใหม่ด้วยการพัฒนาระบบ Smart City เมืองอัจฉริยะที่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ (IoT) ผ่านระบบ 5G ซึ่งเข้ามายกระดับคุณภาพชีวิตของสังคมเมืองและยกระดับพัฒนาการทางเทคโนโลยีในอนาคตอื่นๆ อีกมากมาย เช่นรถยนต์ไร้คนขับ รวมไปถึงระบบ Automation ต่างๆ

 

คุณภาพชีวิตเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญ โดยจีนตั้งเป้าส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อให้คนจีนได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ในราคาที่เหมาะสม และปฏิรูประบบประกันสุขภาพเพื่อให้คนจีนเข้าถึงประกันสุขภาพมากขึ้นเพื่อเพิ่มอายุขัยเฉลี่ยและสุขภาพที่ดีขึ้นของชาวจีนผ่านนโยบาย Healthy China 2030 รวมไปถึงการผลิกบทบาทจากผู้ทำลายเป็นผู้รักษา จากเดิมทีที่จีนเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก โดยจีนต้องการที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดภายในปี 2030 และจะกลายเป็นประเทศปล่อยก๊าซดังกล่าวเป็น 0 ภายในปี 2060 ด้วยการผลักดันให้มีการใช้พลังงานใหม่มากขึ้นแบบครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาแบตเตอรี่ การส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า การสร้างสถานีชาร์จไฟ ไปจนถึงการพัฒนาให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการอัดฉีดจากภาครัฐและการระดมเงินเพื่อพัฒนาและสนับสนุนการใช้พลังงานใหม่ผ่านการออก Green Bond

 

อีกหนึ่งความน่าสนใจ คือ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดหุ้นจีน ซึ่งตลาดหุ้นจีนยังถือว่าใหม่กว่าตลาดอื่นๆ ทั่วโลกเนื่องจากเงื่อนไขการลงทุนที่เข้มงวดในอดีต อย่างไรก็ตามในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนพยายามพัฒนาและปรับลดกฎเกณฑ์การเข้าซื้อสินทรัพย์ให้มีความง่ายและความสะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ตลาดการเงินจีนเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศและมีโอกาสที่จะดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศได้เพิ่มเข้ามาอีกในอนาคต โดยพบว่าสัดส่วนหุ้นจีนในดัชนี MSCI ACWI ในช่วงเดือนมี.ค. 2021 นั้นคิดเป็นสัดส่วนเพียง 5.3% น้อยกว่าสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ 57.8% ราว10 เท่า สวนทางกับขนาดเศรษฐกิจจีน ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก โดยมี Nominal GDP อยู่ที่ 14.34 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เล็กกว่าสหรัฐฯ ที่ 21.43 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพียงเล็กน้อย บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นจีนยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมากหากตลาดหุ้นจีนได้รับการเพิ่มน้ำหนักในดัชนี MSCI ACWI ในอนาคตให้คู่ควรกับขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก

 

ฉะนั้นแล้วเราจึงมองว่าจีนนั้นเป็นมังกรที่แข็งแกร่งและพร้อมที่จะผงาดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมีปัจจัยใดเข้ามากดดันตลาด แต่จีนยังมีความสามารถในการเติบโตเชิงโครงสร้างจากนโยบายพัฒนาชาติที่ชัดเจน เช่นเดียวกับเครื่องเมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังเหลืออีกค่อนข้างมาก

 

บทความโดย Winthemoney & Wealthy like a Bo$$

——————

Sources: ROBECO, UBS, Bloomberg, Ourworldindata, Financialtimes, World Bank, Tradingeconomics, Investopedia

.

.

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนหุ้นจีนนั้นสามารถลงทุนได้ผ่านกองทุน ASP-EVOCHINA, MCHINAGA, KT-AShares-A, UCI, UCHINA, TCHCON, TCHTECH-A, TMBCOF, KFACHINA-A, T-ES-CHINA-A, LHCHINA-D, K-CHINA, ONE-ALLCHINA-RA, UCHINA, BCAP-CTECH, WE-CHIG และอีกมากมาย โดยสามารถเข้ารับการปรึกษาจากเราได้ทุกช่องทาง

.

.

✅ สำหรับผู้สนใจลงทุนผ่านบริการของ INDEGO สามารถติดต่อลงทุนและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

🌐 Website: https://www.indegowealth.com

📧 อีเมล: [email protected]

📞 โทร: 02-233-9995

💻 Facebook: INDEGO WEALTH

🗓 ทุกวันทำการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8:30 – 17:30 น.

#ยืนหนึ่งเรื่องกองทุนต้อง INDEGO

Contact
Contact