Eyes on July

🔹 เดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดหุ้นโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยหุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ซึ่งได้ปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ผ่อนคลายลง นอกจากนี้ตลาดยังมีแรงหนุนจากความหวังในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับนานาประเทศ ก่อนถึงกำหนดเส้นตายที่ปธน.ทรัมป์ผ่อนผันให้ถึงวันที่ 9 ก.ค. อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงสวนทางภาพรวมตลาด นอกจากนี้ ด้านสินค้าโภคภัณฑ์อย่างราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมัน หลังอิหร่านมีการขู่ปิดช่องแคบฮอร์มุซ

INDEGO Monthly Outlook
July 2025
“Eyes on July”

🔹 เดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดหุ้นโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยหุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ซึ่งได้ปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ผ่อนคลายลง นอกจากนี้ตลาดยังมีแรงหนุนจากความหวังในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับนานาประเทศ ก่อนถึงกำหนดเส้นตายที่ปธน.ทรัมป์ผ่อนผันให้ถึงวันที่ 9 ก.ค. อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงสวนทางภาพรวมตลาด นอกจากนี้ ด้านสินค้าโภคภัณฑ์อย่างราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมัน หลังอิหร่านมีการขู่ปิดช่องแคบฮอร์มุซ

🔹 หนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนช่วงเดือนที่ผ่านมา คือภาวะสงครามในตะวันออกกลาง โดยอิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์และทางทหารของอิหร่านในเมืองสำคัญ และมีการตอบโต้กันไปมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบ 2 อาทิตย์ นอกจากนี้ ทางรัฐสภาอิหร่านยังมีมติให้ปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันโลกกว่า 20% ก่อนที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกันได้ในวันที่ 24 มิ.ย.

🔹 ด้านธนาคารกลางทั่วโลกยังคงแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ขณะที่บางส่วนตัดสินใจคงดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด เพื่อรอติดตามภาวะเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงความชัดเจนจากผลกระทบที่จะได้รับจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ โดยการประชุม FOMC ครั้งล่าสุด Fed ได้คงอัตราดอกเบี้ย พร้อมปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ของสหรัฐฯ และปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ รวมถึงอัตราว่างงาน

🔹 ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเผชิญแรงกดดันมากขึ้น หลัง GDP สหรัฐฯ ไตรมาส 1 ปี 2025 ออกมาหดตัว โดยถูกแรงกดดันจากการเร่งนำเข้าสินค้า ก่อนที่นโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่อยู่เหนือระดับ +1 S.D. ยังสะท้อนถึงมูลค่าหุ้นที่ตึงตัว ปัจจัยข้างต้นอาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญกับภาวะเปราะบางในระยะถัดไป อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในทิศทางเชิงบวก โดยเฉพาะกลุ่ม IT ที่เติบโตตามกระแส AI

🔹 หากลองมองถึงตัวเลือกอื่นนอกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นยุโรปจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นที่นักลงทุนจับตามอง โดยเศรษฐกิจยุโรปมีปัจจัยขับเคลื่อนที่น่าสนใจ ได้แก่ การผ่อนคลายนโยบายการเงินของ ECB ซึ่งจะหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของยุโรป รวมไปถึงการดำเนินมาตรการขาดดุลงบประมาณของเยอรมนี ซึ่งจะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมด้านการป้องกันประเทศและโครงสร้างพื้นฐาน

🔹 ด้านความคืบหน้าของมาตรการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับนานาประเทศ กำลังอยู่ระหว่างเจรจากับประเทศคู่ค้าหลัก ก่อนจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 ก.ค. นี้ โดยบางประเทศได้ข้อสรุปแล้ว ขณะที่บางรายยังอยู่ระหว่างเจรจา หรือมีแนวโน้มรับยกเว้นภาษีเฉพาะสินค้ากลุ่มสำคัญ เช่น เทคโนโลยีและยา เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมสำคัญ

🔹 อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตามอง คือร่างกฎหมาย One Big Beautiful Bills ซึ่งประกอบด้วยมาตรการสำคัญ เช่น การขยายเพดานหนี้ การลดภาษีถาวรตาม Tax Cut Jobs Act (TCJA) ปี 2017 การเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม และการกำหนดเงื่อนไขใหม่สำหรับสวัสดิการ Medicaid และ SNAP (โครงการช่วยเหลือด้านอาหาร) พร้อมยกเลิกสิทธิประโยชน์บางส่วนด้านพลังงานสะอาด

🔹 การเติบโตของ AI ได้ผลักดันความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้การลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์นั้นเร่งตัวขึ้น ทั้งในรูปแบบโรงไฟฟ้าใหม่และโรงไฟฟ้าเดิม โดยพลังงานนิวเคลียร์มีจุดเด่นด้านความต่อเนื่องในการจ่ายไฟ และใช้พื้นที่น้อย รวมถึงการปล่อยคาร์บอนที่เกือบเป็นศูนย์ ถึงแม้จะมีการใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูง แต่ต้นทุนการดำเนินการค่อนข้างต่ำในระยะยาว ซึ่งจะเหมาะสำหรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ขณะเดียวกัน ทางสหรัฐฯ ได้เริ่มเร่งการกระจายห่วงโซ่อุปทานยูเรเนียมไปยังประเทศพันธมิตร เช่น แคนาดาและออสเตรเลีย เพื่อลดการพึ่งพาจีนและเสริมเสถียรภาพด้านพลังงานในระยะยาว โดยเฉพาะเทคโนโลยีนิวเคลียร์ซึ่งกำลังกลายเป็นกลไกสำคัญในอนาคตของระบบพลังงานโลก

🔹 ขณะเดียวกันเศรษฐกิจจีนเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเมื่อช่วงต้นปี โดยยอด Social Financing เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องกับปริมาณเงินในระบบ (Money Supply M2) ที่ปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนถึงความพยายามในการเพิ่มสภาพคล่องและการลงทุนในหลายภาคส่วน ควบคู่กับปริมาณเงินหมุนเวียนในภาคเอกชนและครัวเรือนที่มากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 40% ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา นอกจากนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนยังทำให้ตลาดหุ้นฮ่องกงคึกคักมากขึ้น ผ่านมูลค่าการระดมทุนผ่าน IPO ที่ระดับกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกทั้งกระแสเงินลงทุนจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ที่ไหลเข้าเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น อย่างไรก็ตาม จีนยังคงเผชิญความเสี่ยงจากภาคอสังหาริมทรัพย์ หลังการประกาศราคาบ้านในจีนยังหดตัวต่อเนื่อง รวมถึงความไม่แน่นอนของสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยคอยกดดันตลาด

🔹 สำหรับเวียดนามซึ่งเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยสัดส่วนการส่งออกส่วนใหญ่มาจากบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในเวียดนาม ซึ่งหากมีการย้ายฐานผลิตของนักลงทุนต่างชาติออก อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้ เวียดนามจึงได้เริ่มการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ผ่าน “Doi Moi 2.0 (โด่ย เหมย 2.0) ด้วยการปรับโครงสร้างภาครัฐ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการบริหาร ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่น่าดึงดูดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เวียดนามยังออกมติใหม่ผ่าน “Resolution 68” โดยการสนับสนุนภาคเอกชนให้เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของชาติ และลดข้อจำกัดทางเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติเป็นหลัก

🔹 ขณะที่ด้านอินโดนีเซียเริ่มเผชิญกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดย GDP อินโดนีเซีย ในไตรมาส 1 ของปี 2025 ออกมาเติบโตในอัตราที่ช้าที่สุดในรอบ 3 ปี โดยได้รับผลกระทบจากการค้าโลกที่ผันผวนและการชะลอตัวของการบริโภคสินค้าภายในประเทศ ทางกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอินโดนีเซียจึงได้ออกมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยการกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเร่งการปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจต่อไป

🔹 ปีนี้ตลาดหุ้นไทยเป็นปีแห่งความท้าทายเนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าไทยลดลง ความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองที่สูงขึ้น และความไม่แน่นอนทางด้านการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ยอดการโอนย้าย LTF มายัง TESGX ยังออกมาน้อยกว่าเป้า ปัจจัยข้างต้นส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง

🔹 สำหรับมุมมองของเราในเดือนนี้ เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเก็งกำไรระยะสั้นชั่วคราวเพื่อรอความคืบหน้าของมาตรการทางภาษีการค้าของสหรัฐฯ และเน้นทยอยสะสมอย่างระมัดระวังในการลงทุนระยะยาว โดยแนะนำสะสมหุ้นอินเดียและเวียดนาม ตราสารหนี้โลกและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึง Defensive Asset เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี อยู่เหนือระดับ 4% และอัตราผลตอบแทนจากตราสารหนี้ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในจุดที่น่าสนใจในรอบทศวรรษ นอกจากนี้ยังมีโอกาสทำกำไรหากเศรษฐกิจชะลอตัว และยังได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอจากดอกเบี้ย

อ่านฉบับเต็มคลิก: https://www.indegowealth.com/wp-content/uploads/2025/07/INDEGO-WEALTH-Monthly-Presentation-July-2025.pdf

INDEGO
Independence for Global Opportunities

#ยืนหนึ่งเรื่องกองทุนต้อง INDEGO
#รู้ลึกรู้จริง วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
#ให้คำปรึกษาที่เป็นกลางที่สุด

✅ สำหรับผู้สนใจลงทุนผ่านบริการของ INDEGO สามารถติดต่อลงทุนและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
🌐 Website: https://indegowealth.com
📧 อีเมล [email protected]
📞 โทร: 02-233-9995
🗓 ทุกวันทำการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8:30 – 17:30 น.

  • SHARE
Contact
Contact