The Game Changer

🔹 เดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ราคาสินทรัพย์ทางการเงินปรับตัวผสมผสาน โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังสามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลังจากผลประกอบการของบริษัทในภาพรวมที่เริ่มทยอยออกมายังคงดีกว่าคาดการณ์ ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนยังคงปรับตัวลงจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอแต่ทางการเริ่มส่งสัญญาณการออกนโยบายกระตุ้นที่มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

INDEGO Market Outlook February 2024

INDEGO Market Outlook
February 2024
“The Game Changer”

🔹 เดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ราคาสินทรัพย์ทางการเงินปรับตัวผสมผสาน โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังสามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลังจากผลประกอบการของบริษัทในภาพรวมที่เริ่มทยอยออกมายังคงดีกว่าคาดการณ์ ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนยังคงปรับตัวลงจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอแต่ทางการเริ่มส่งสัญญาณการออกนโยบายกระตุ้นที่มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

🔹 ด้านผลการประชุม FOMC มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ตามตลาดคาดการณ์ พร้อมคงนโยบาย QT ต่อไป อย่างไรก็ตามคณะกรรมการ Fed มีมุมมองว่ายังไม่น่าจะรีบลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบเดือน มี.ค. เพราะต้องการมั่นใจว่าสามารถคุมให้เงินเฟ้อปรับตัวลงได้อย่างยั่งยืนได้แล้ว

🔹 ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงอัตราอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ -0.10% และยังคงกรอบนโยบายการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (YCC) ไว้ที่ระดับเพดาน 1.0% ดังเดิม แต่ได้มีการให้ความเห็นว่าระยะเวลาที่ BOJ จะเริ่มปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกตินั้นกำลังใกล้เข้ามา

🔹 ด้านธนาคารกลางจีน (PBoC) ประกาศลดอัตราส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.50% เพื่ออัดฉีดเงินเข้าระบบ 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. 67 ซึ่งเป็นการปรับลดการกันสำรองครั้งใหญ่สุดในรอบ 2 ปี

🔹 สำหรับในเดือนที่ผ่านมาเราเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจมากมายในตลาดการเงินโลกนำโดยภาครัฐจีนที่เริ่มออกมาตรการกระตุ้นมากขึ้นเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับสู่ตลาดหุ้น อาทิ การเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดหุ้นมูลค่า 2 ล้านล้านหยวน การประกาศระงับทำ Short Selling รวมถึงการถอดร่างกฎระเบียบควบคุมอุตสาหกรรมเกมที่เคยกดดันตลาดในช่วงก่อนหน้านี้ออกจากเว็บไซต์ของสำนักงานสื่อและสิ่งพิมพ์แห่งชาติของจีน ส่งผลให้เกิดแรงเข้าซื้อในตลาดหุ้นจีนผ่าน CSI300 Index ETF สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งยังคงต้องจับตามองว่ามาตรการกระตุ้นรอบนี้จะสามารถนำตลาดหุ้นจีนกลับมาในปีมังกรนี้ได้หรือไม่

🔹 ข้ามมาในฝั่งของเกาะไต้หวัน ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีออกมาเป็นไปตามคาดการณ์ โดยผู้ได้รับเลือกตั้งยังคงเป็นแคนดิเดตจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ซึ่งมีแนวคิดในการสนับสนุนเอกราชของไต้หวัน (Pro-Independence) ซึ่งผู้ที่จะมารับไม้ต่อจากนางไช่ อิงเหวิน ได้เเก่นายไล่ ชิงเต๋อ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในสมัยของนางไช่ อิงเหวิน นั้นเอง ส่งผลให้ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีน-ไต้หวัน จะยังคงอยู่ไปในระยะยาว อย่างไรก็ตามเรามองว่าในระยะสั้น-กลาง ความขัดแย้งจะยังไม่ทวีความรุนแรงขึ้น และจะยังสามารถรักษาสถานะระหว่างทั้งสองฝ่ายเอาไว้ตามเดิม (Status Quo)

🔹 ด้านสหรัฐฯ ตัวเลขเศรษฐกิจยังคงออกมาแข็งแกร่งทั้งการเติบโตของ GDP และภาคแรงงาน รวมถึงผลประกอบการของบริษัทในภาพรวมที่เริ่มทยอยออกมายังคงดีกว่าคาดการณ์ ในขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมาถึงในช่วงปลายปีนี้ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มยังปรับตัวขึ้นต่อได้ แต่อาจเผชิญความผันผวนได้หลัง Fed ยืนยันว่าจะไม่ลดดอกเบี้ยนโยบายได้รวดเร็วตามที่ตลาดหวังไว้

🔹 นอกจากนี้กลุ่ม Healthcare ยังถือเป็นหนึ่งทางเลือกในกลุ่ม Defensive Growth ซึ่งมีความทนทานในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และมี Valuation ถูกกว่าหุ้น Technology รวมถึงมักจะให้ผลตอบแทน Outperform ดัชนี S&P500 หลังจาก Fed เริ่มกลับมาลดอัตราดอกเบี้ย

🔹 ด้านเศรษฐกิจไทย ผลประกอบการปี 2023 ของธนาคารพาณิชย์ในไทยออกมายังคงเติบโตตามวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ถูกกดดันจากการตั้งสำรองที่สูงขึ้นเช่นกัน ในฝั่งของภาคการท่องเที่ยวยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องหลังสามารถบรรลุเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2023 ที่ 28 ล้านคนได้ และรอรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนหลังรัฐบาลลงนามข้อตกลงฟรี วีซ่า สำหรับทั้ง 2 ชาติ ในขณะที่ด้านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้จะมีแนวโน้มที่มาตรการ Digital Wallet อาจถูกเลื่อนออกไป แต่รัฐบาลได้ประเดิมนโยบายกระตุ้นผ่านมาตรการ Easy E-receipts เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคการบริโภค

🔹 ด้านการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย อาจยืดเยื้อนานกว่าคาด หากผลการเลือกตั้งออกมาไม่มีผู้ชนะอย่างขาดลอย จะส่งผลให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตามจากสถิติได้แสดงให้เห็นว่าในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอินโดนีเซียนั้น สามารถกระตุ้นเม็ดเงินและการบริโภคภายในประเทศได้อยู่เสมอ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจของตลาดหุ้นอินโดนีเซียในปีนี้ นอกจากเรื่องการเติบโตในระยะยาว

🔹 ในส่วนของประเทศเวียดนามได้รับ Sentiment เชิงบวกจากการที่ตลาดตอบรับความก้าวหน้าของการทดสอบระบบ KRX ซึ่งเป็นข้อกำหนดในการเข้าสู่การเป็น Emerging Market ของดัชนี FTSE ซึ่งจะส่งผลให้มีเม็ดเงินจำนวนมากไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเวียดนาม โดยเรายังมองว่าเวียดนามจะยังเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากความขัดแย้งของสหรัฐฯ และจีน และมีการเติบโตในระยะยาวที่โดดเด่น

🔹 สำหรับมุมมองของเราในเดือนนี้ เรายังคงมุมมองคำแนะนำผ่านการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมในหลายประเภทสินทรัพย์ และหลากหลายภูมิภาค โดยแนะนำสะสมหุ้นไทยเพิ่มจากความชัดเจนทางการเมือง นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ และภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปี 2024 ทยอยสะสมหุ้นอินโดนีเซียและเวียดนามที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตสูง และรอทยอยสะสมหุ้นสหรัฐฯ ที่มีผลประกอบการแข็งแกร่ง หรือกลุ่ม Healthcare เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง และลดความผันผวนให้กับพอร์ตการลงทุนได้ รวมถึงรอจังหวะสะสมหุ้นอินเดียที่ยังมีการเติบโตที่โดดเด่นเมื่อย่อตัว ขณะที่ตราสารหนี้ยังแนะนำทยอยสะสมต่อไปจากระดับอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับสูง

INDEGO
Independence for Global Opportunities

#ยืนหนึ่งเรื่องกองทุนต้อง INDEGO
#รู้ลึกรู้จริง วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
#ให้คำปรึกษาที่เป็นกลางที่สุด

✅ สำหรับผู้สนใจลงทุนผ่านบริการของ INDEGO สามารถติดต่อลงทุนและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
🌐 Website: https://indegowealth.com
📧 อีเมล [email protected]
📞 โทร: 02-233-9995
🗓 ทุกวันทำการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8:30 – 17:30 น.

  • SHARE
Contact
Contact