The Lower Yield, the Higher Return

🔹 เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัจจัยบวกหลังการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ลง 0.25% ผสานกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่คลี่คลายลง ส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนำตลาด นอกจากนี้ ผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียนยังเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นในหลายภูมิภาค ขณะเดียวกัน ปัจจัยข้างต้นได้ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วงต้นเดือน และมีแรงขายทำกำไรในช่วงปลายเดือน

INDEGO Monthly Outlook
November 2025
“The Lower Yield, the Higher Return”

🔹 เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัจจัยบวกหลังการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ลง 0.25% ผสานกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่คลี่คลายลง ส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนำตลาด นอกจากนี้ ผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียนยังเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นในหลายภูมิภาค ขณะเดียวกัน ปัจจัยข้างต้นได้ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วงต้นเดือน และมีแรงขายทำกำไรในช่วงปลายเดือน

🔹 ปัจจัยใหญ่ที่ตลาดจับตาในเดือน ต.ค. คือการประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 3.75% – 4.00% ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด อีกทั้ง Fed ยังได้ประกาศยุติการลดขนาดงบดุล (QT) ในเดือน ธ.ค. เนื่องจาก Fed เห็นว่า ความเสี่ยงด้านลบต่อการจ้างงานได้เพิ่มขึ้น และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่แม้ยังอยู่เหนือกรอบเป้าหมาย แต่ความร้อนแรงของเงินเฟ้อเริ่มลดลง อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี แสดงให้เห็นว่า Fed ยังมี “Policy Space” ในการปรับลดดอกเบี้ยมากกว่าธนาคารกลางอื่นๆ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อผู้ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ในช่วงต้นรอบการผ่อนคลายนโยบายการเงิน

🔹 อีกหนึ่งปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในเดือนที่ผ่านมาคือการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ จำนวน 64% ในดัชนี S&P500 ได้รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2025 ซึ่งภาพรวมมีรายได้เติบโต 7.9% (YoY) นับเป็นการเติบโต 20 ไตรมาสติดต่อกัน รวมถึงรายงานกำไรสุทธิเติบโตที่ 10.7% (YoY) นับเป็นการเติบโตของกำไรต่อเนื่องกันเป็นไตรมาสที่ 9 ติดต่อกัน ขณะที่อัตรากำไรสุทธิที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 12.9% จาก 12.5% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

🔹 ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ในสภาวะ “Government Shutdown” ซึ่งอาจสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน อย่างไรก็ดี จากสถิติแล้ว Government Shutdown เคยเกิดขึ้นมาแล้วถึง 20 ครั้ง และตลาดหุ้นได้รับผลกระทบในลักษณะผสมผสานและโดยรวมค่อนข้างจำกัด ซึ่งครั้งที่ตลาดปรับตัวลงมากที่สุด ปรับตัวลงเพียง 4.4% และย้อนไปถึงปี 1979 นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบผลตอบแทน 1 ปี หลังจากจบ Government Shutdown ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นถึง 18 ครั้งจาก 20 ครั้ง

🔹 ด้านเศรษฐกิจโลกได้ปรับตัวเข้ากับมาตรการภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ และสงครามการค้าทั่วโลกแล้ว ส่งผลให้ IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2025 และ 2026 เป็น 3.2% และ 3.1% ตามลำดับ เทียบกับการคาดการณ์ครั้งก่อน (เดือน ก.ค.) ที่ 3.0% และ 3.1% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวยังถือว่าต่ำกว่าปี 2024 ที่ 3.3% ทั้งนี้ การปรับคาดการณ์การเติบโตของแต่ละประเทศแตกต่างกันตามโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เครื่องมือทางการเงินและการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

🔹 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนี NASDAQ 100 เป็นผลมาจากการเติบโตของกำไรบริษัทเทคโนโลยี โดยได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุปสงค์ AI และ Cloud ที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤต Dot-Com bubble ในปี 1999 ดัชนีซื้อขายบน P/E ที่สูงระดับ 73 เท่า ขณะที่ปัจจุบันซื้อขายบน Forward P/E ที่ระดับ 31 เท่า แสดงถึง Valuation ที่ยังคงอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของกำไร ทั้งนี้การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีเป็นผลมาจากการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ซึ่งแตกต่างจากปี 1999 ที่กำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาที่ปรับขึ้นไปล่วงหน้า

🔹 นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ได้เพิ่มงบลงทุนด้าน AI อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2024 โดยในปี 2025 คาดการณ์ว่างบลงทุน AI จะอยู่ราว 3.91 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 55% (YoY) และ 4.45 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2026 เป็นผลมาจากมีความต้องการใช้งาน AI ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการใช้งานที่หลากหลายภาคส่วน อีกทั้งบริษัทเทคโนโลยีได้ประกาศความร่วมมือระหว่างกันในด้านต่างๆ ซึ่งมีแนวโน้มหนุนการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนในระยะถัดไป ดังนั้นเราจึงแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นโลกและสหรัฐฯ อย่างระมัดระวัง โดยเน้นกลุ่มที่เติบโตได้ตามธีม AI

🔹 อุตสาหกรรม Healthcare กำลังกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง สะท้อนได้จากการฟื้นตัวของราคาหุ้นในกลุ่ม Biotechnology และ Genomics ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการวิจัยและพัฒนา และจะส่งผลดีต่อการเติบโตในระยะยาว ขณะเดียวกัน กลุ่ม Pharmaceutical หรือบริษัทยาเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวเช่นกัน หลังเผชิญแรงกดดันจากมาตรการควบคุมราคายาและการปรับขึ้นภาษีนำเข้าในสหรัฐฯ อีกทั้งความคืบหน้าในการเจรจาลดราคายาและแผนการลงทุนภายในประเทศของบริษัทข้ามชาติเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีนำเข้า ยังเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มดังกล่าว ฉะนั้นเราจึงแนะนำให้อาศัยจังหวะนี้ในการเข้าลงทุนหุ้นกลุ่ม Heatlhcare โดยเน้นไปที่อุตสาหกรรมยา Biotechnology และ Genomics

🔹 ในปี 2025 โลหะมีค่าอย่าง ทองคำและเงิน ต่างให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าสนใจ โดยราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 53.07% YTD ขณะที่ราคาเงินเพิ่มขึ้นถึง 67.26% YTD ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากความต้องการซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก และความผันผวนทางเศรษฐกิจที่กระตุ้นให้นักลงทุนหันมาถือสินทรัพย์ปลอดภัย ส่วนโลหะเงินได้รับแรงหนุนจากราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่อาจมองข้ามคือ แร่หายาก (Rare Earth) ที่ทำผลตอบแทนสูงกว่าทองคำและเงินในปีนี้ โดย REMX ETF ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 75.34% YTD เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้กำลังเป็นที่จับตาของทั่วโลก หลังสหรัฐฯ ประกาศนโยบายส่งเสริมการลงทุนทั้งในประเทศและกับประเทศพันธมิตร เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาการนำเข้าแร่หายากจากจีนในระยะยาว ทั้งนี้ เราแนะนำให้ขายทำกำไรทองคำบางส่วนโดยอาศัยจังหวะนี้ที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง พร้อมคงเหลือน้ำหนักของทองคำเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน และแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม Rare Earth โดยใช้จังหวะปัจจุบันที่ราคากำลังย่อตัว

🔹 ภาพรวมเศรษฐกิจของยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากภาระการคลังและความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะฝรั่งเศสและอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ขณะที่ภาคธุรกิจสินค้าหรูเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว นำโดยแบรนด์ระดับพรีเมียมที่รักษากำไรและมาร์จิ้นไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง

🔹 ฟากประเทศญี่ปุ่นได้มีการเลือกตั้งซานาเอะ ทาคาอิจิ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างเป็นทางการ ภายใต้นโยบาย “Sanaenomics” ซึ่งจะเป็นการเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายภาครัฐและสนับสนุนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ผนวกกับเงินเยนที่อ่อนค่าช่วยหนุนภาคส่งออกและผลประกอบการบริษัท ขณะที่การปฏิรูปองค์กรผ่านการซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้น ได้ช่วยผลักดันตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ

🔹 ทางรัฐบาลจีนได้เผยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 15 ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการผลิตที่ทันสมัย รวมถึงการพึ่งพาตนเองในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี นอกจากนี้ ทางการจีนยังกล่าวถึงความพยายามที่จะพัฒนาในส่วนอื่นด้วย เช่น การกระตุ้นการบริโภค การส่งเสริมกิจการที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น อีกปัจจัยสำคัญสำหรับประเทศจีนคือการประกาศตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 3/2025 ที่เติบโต 4.8% (YoY) ซึ่งแม้จะหดตัวจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ 5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการใช้มาตรการ Anti-Involution และการหนุนการพึ่งพาเทคโนโลยีภายในประเทศ สะท้อนผ่านการเติบโตของกำไรภาคอุตสาหกรรม (Industrial Profits) ในเดือน ก.ย. ที่เติบโตกว่า 20% (YoY)

🔹 ด้านอินเดียยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจอันดับต้นของโลก โดยมีอัตราการขยายตัวของ GDP ราว 6% ต่อปี ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากโครงสร้างประชากรที่แข็งแกร่ง โดยมีสัดส่วนประชากรวัยแรงงานสูงสวนทางกับประเทศอื่น ซึ่งสวนทางกับหลายประเทศที่เผชิญภาวะสังคมผู้สูงอายุ ขณะเดียวกัน อินเดียยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายในประเทศ ทั้งจากโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางอินเดีย (RBI) หลังอัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง รวมถึงการปฏิรูปภาษี GST 2.0 ที่มุ่งลดภาษีสินค้าจำเป็นและผ่อนปรนภาษีขั้นต่ำสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและการบริโภคภายในประเทศ โดยความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นอินเดียยังอยู่ในระดับจำกัด เนื่องจากกระแสเงินทุนจากนักลงทุนภายในประเทศยังคงไหลเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศ

🔹 เมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามได้รับการประกาศผลการพิจารณาเบื้องต้นจาก FTSE Russell สำหรับการอัพเกรดสถานะจาก Frontier Market สู่ Emerging Market และจะมีการยืนยันสถานะอีกครั้งในเดือน มี.ค. 2026 พร้อมอัพเกรดสถานะอย่างเป็นทางการในเดือน ก.ย. 2026 โดยการอัพเกรดครั้งนี้จะส่งผลให้มีเม็ดเงินทั้งจากกองทุน Passive, Active และนักลงทุนต่างชาติอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นเวียดนาม

🔹 สำหรับมุมมองของเราในเดือนนี้ เราแนะนำให้ทยอยสะสมระยะยาวและกระจายการลงทุนในกองทุนหุ้นหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยเน้นสะสมหุ้นจีน อินเดีย และเวียดนาม ขณะที่หุ้นโลกสามารถทยอยสะสมตามจังหวะการย่อตัวของตลาด อีกทั้งยังแนะนำให้ทยอยสะสมตราสารหนี้โลกและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี อยู่เหนือระดับ 4% ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนจากตราสารหนี้ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในจุดที่น่าสนใจในรอบทศวรรษ นอกจากนี้ยังมีโอกาสทำกำไรหากเศรษฐกิจชะลอตัว และยังได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอจากดอกเบี้ย รวมถึงสะสม Global REITs ที่ได้รับประโยชน์จากช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลงในรอบทศวรรษ

อ่านฉบับเต็มคลิก : https://www.indegowealth.com/wp-content/uploads/2025/11/INDEGO-WEALTH-Monthly-Presentation-Nov-2025-PB.pdf

INDEGO
Independence for Global Opportunities

#ยืนหนึ่งเรื่องกองทุนต้อง INDEGO
#รู้ลึกรู้จริง วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
#ให้คำปรึกษาที่เป็นกลางที่สุด

✅ สำหรับผู้สนใจลงทุนผ่านบริการของ INDEGO สามารถติดต่อลงทุนและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
🌐 Website: https://indegowealth.com
📧 อีเมล [email protected]
📞 โทร: 02-233-9995
🗓 ทุกวันทำการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8:30 – 17:30 น.

  • SHARE
Contact
Contact